เตรียมรับมือ! ส่งออกอาจเผชิญการกีดกันการค้าที่เข้มข้น
โควิด-19 เข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตั้งแต่พฤติกรรมของผู้คน สังคม
การเมือง เศรษฐกิจประเทศ ไปจนถึงเศรษฐกิจโลก ในช่วงไตรมาสแรกของปี
2020 ได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลง 3% โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ
(IMF) ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดนับแต่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เรียกว่า
Great Depression ในช่วงทศวรรษที่ 1930
โรคระบาดครั้งนี้ได้ฉุดให้โลกเข้าสู่วิกฤตการณ์ที่ไม่เหมือนวิกฤตครั้งใดๆ และการระบาดที่ยืดเยื้อจะเป็นบททดสอบความสามารถในการควบคุมสถานการณ์วิกฤตของรัฐบาล และธนาคารของประเทศต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าสถานการณ์หลังจากโควิด-19 สงบลง อาจเกิดการกีดกันทางการค้าเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศตัวเอง ไปจนถึงเกิดการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (De-globalization) ที่อาจส่งผลต่อการนำเข้าและส่งออกสินค้าต่างๆ ด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การทวนกระแสโลกาภิวัตน์
ส่งผลอะไรต่อเศรษฐกิจไทย
ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามกระแสโลกาภิวัตน์
(Globalization) ทางด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ
ซึ่งส่งผลต่อการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ทั้งด้านการค้า การลงทุน การเงิน การเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต และการขนส่ง โดยแต่ละประเทศมีการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนตามกระแสโลกาภิวัฒน์
มุ่งเน้นความเชื่อมโยงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ในแต่ละขั้นตอนการผลิตจนถึงผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global
value chain) มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 โดยไทยมีสัดส่วนการเข้าร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกอยู่ในลำดับที่
21 จากทั้งหมด 59 ประเทศ
ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่าโลกาภิวัตน์นั้นมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม
และทำให้เกิดการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจในประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามกระแสโลกาภิวัตน์
โดยการพึ่งพาปัจจัยและวัตถุดิบบางประการจากประเทศอื่นแทนสินค้าและวัตถุดิบที่ประเทศตัวเองมีน้อย
หรือขาดแคลน เมื่อโควิดมาทำให้เศรษฐกิจโลกช้ำ หลายประเทศจำเป็นต้องหามาตรการมาเยียวยาตัวเอง
โดยจะมุ่งเน้นที่การขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจในประเทศก่อน คือการพึ่งพาตนเอง
ใช้ของภายในประเทศ
นั่นเท่ากับว่าอาจลดการพึ่งพาการนำเข้ามาของวัตถุดิบสินค้าอื่นจากต่างประเทศ
ที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกอย่างเลี่ยงไม่ได้
และหากเป็นเช่นนี้จริงเศรษฐกิจประเทศไทยจะแย่ลงไปจากที่กูรูหลายท่านคาดการณ์
เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยวและการส่งออก
โดยมีสินค้าเกษตร อุปกรณ์ไฟฟ้า แร่มีค่า ยานพาหนะ เป็นกลุ่มสินค้าหลัก และในปี 2019 ประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกรวมกว่า 7.7 ล้านล้านบาท
โดยส่งออกเครื่องจักร คอมพิวเตอร์และยานพาหนะสูงสุด
นอกจากนี้ไทยเรายังส่งออกยางธรรมชาติเป็นอันดับ
1 ของโลกและส่งออกข้าว น้ำตาล และเครื่องปรับอากาศ เป็นอันดับ 2 ของโลกอีกด้วย
หากเกิดการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ขึ้นมาหลังโควิด-19 สงบ อาจจะกระทบต่อการนำเข้าสินค้าและการส่งออกได้
เพราะจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นายสุพริศร์
สุวรรณิก
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้ออกมาให้ความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ในเรื่องนี้ว่าการทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) จะมีความเข้มข้นมากขึ้นหลังโควิด-19 ดังที่ได้เห็นหลายประเทศใช้นโยบายแบบเน้นตนเอง
(inward-looking policy) หรือปกป้องทางการค้า (protectionism) โดยเฉพาะจากสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นโดยประธานาธิบดีโดนัลด์
ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ส่งเสริมให้บริษัทสัญชาติอเมริกันกลับมาผลิตในประเทศมากขึ้น และกีดกันการค้าจากต่างประเทศนั้นกลับมาชัดเจนยิ่งขึ้นช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้ฝ่ายขวาจัดและผู้ไม่สนับสนุนโลกาภิวัตน์เชื่อมั่นว่า
การพึ่งพิงระบบการผลิตระหว่างประเทศมากเกินไปเป็นเรื่องอันตราย
ซึ่งจะเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานโลกที่มีอยู่แล้วให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
นั่นคือประเทศต่างๆ จะหันมาพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นอีก
และกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตและขายสินค้าโดยไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
เพราะเห็นผลกระทบชัดเจนจากขั้นตอนการผลิตหรือตลาดขายสินค้าเมื่อยามที่ต้องปิดตัวลง
ซึ่งเป็นผลจากมาตรการต่างๆ อาทิ การปิดเมืองหรือประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
มาตรการกีดกันทางการค้าที่ผู้ประกอบการต้องรับมือ
สำหรับมาตรการกีดกันทางการค้าที่สร้างความยุ่งยากชัดเจนเรื่องการนำเข้า-ส่งออก
ที่ทำให้เกิดปมขัดแย้งไปทั่วโลก
จนฉุดเศรษฐกิจโลกให้ทรุดตัวลงคงหนีไม่พ้นกรณีข้อพิพาทของประเทศสหรัฐอเมริกากับจีนในปัจจุบัน โดยมีรายงานที่บ่งชี้ว่านับตั้งแต่ปี
2551 บรรดาประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าใช้มาตรการกีดกันการค้ากันมากขึ้น และในจำนวนนี้
สหรัฐ เป็นประเทศที่ใช้มาตรการกีดกันการค้ามากที่สุดจำนวน 790 มาตรการ
อันดับ
2 คืออินเดีย 566 มาตรการ อันดับ 3 รัสเซีย จำนวน 423 มาตรการ อันดับ 4 เยอรมนี จำนวน 390 มาตรการ อันดับ 5 สหราชอาณาจักร จำนวน 357 มาตรการ อันดับ 6 บราซิลจำนวน 302 มาตรการ อันดับ 7 ฝรั่งเศส จำนวน262 มาตรการ อันดับ 8 จีน จำนวน 256 มาตรการ อันดับ 9 เม็กซิโกจำนวน 103 มาตรการ และอันดับ10 ซาอุดิอาระเบีย จำนวน 44 มาตรการ
ทั้งนี้สามารถอธิบายได้ว่า
ประเทศใดก็ตามที่มีมาตรการกีดกันทางการค้ามากข้อ
มักจะประสบปัญหาประเทศอื่นไม่ปลื้มเอาได้ง่ายๆ
ซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี
(Non-tariff Barriers/Non-tariff Measures) นั้นเป็นกฎระเบียบข้อบังคับของภาครัฐบาลที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างประเทศได้แก่
มาตรการกึ่งภาษีอากร การควบคุมราคา
การควบคุมปริมาณข้อกำหนดในการนำเข้าสินค้าบางชนิด การตรวจสอบคุณภาพสินค้า
การตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า
และมักจะมาแบบไม่ชัดเจนแต่มีผลกระทบต่อการค้าได้มากกว่าการจัดเก็บภาษีขาเข้า
ตัวอย่างมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non- tariff barriers) มีอยู่หลายรูปแบบ ได้แก่
1. การเรียกเก็บภาษีที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร (Non- tariff barriers) เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value added tax) ภาษีธุรกิจ (business taxes) ซึ่งเป็นการจัดเก็บภาษีที่นอกเหนือไปจากภาษีศุลกากร (customs duties) ที่มีการเรียกเก็บกันโดยปกติของการค้าระหว่างประเทศ
2. การจำกัดปริมาณนำเข้า (Quantitative restrictions on imports) รวมถึงการออกใบอนุญาตนำเข้า (non-automatic licensing) การกำหนดสัดส่วนของชิ้นส่วนภายในประเทศ (local content requirements) การห้ามการนำเข้า(prohibited imports) การกำหนดโควตาการนำเข้า (trade quotas) และการจำกัดการส่งออกโดยสมัครใจ (voluntary export restrictions)
3. การกำหนดเกี่ยวกับสุขอนามัยและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ (sanitary and phytosanitary regulations)
4. การห้ามนำเข้า (Import Prohibitions)
5. การกำหนดเกี่ยวกับการปิดฉลากสินค้า
6. การกำหนดมาตรฐานสินค้าที่มีความแตกต่างไปจากมาตรฐานสากล ที่เป็นบรรทัดฐานของการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศคู่ค้าที่มีมาตรฐานการผลิตอยู่บนพื้นฐานของระบบมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ ไม่สามารถส่งสินค้าเข้าไปจำหน่ายในตลาดของประเทศตนได้
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นกับบางประเทศหลังโควิด-19 สงบลง
ซึ่งอาจกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยอีกมาก และเมื่อทิศทางเศรษฐกิจเป็นแบบนี้
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินงานและเตรียมตัวรับมือไว้ด้วยเช่นกัน
หากเมื่อวันหนึ่งการส่งออกทำได้ยากจากมาตรการกีดกันทางการค้า ค่าเงินบาท
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ซบเซา และอีกมากมายหลายปัจจัย จะรับมือกันอย่างไรแล้วจะปรับตัวไปเป็นแบบไหนหรือเกิดใหม่เป็นอะไร.
แหล่งอ้างอิง : ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_30Mar2020.aspx