การเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ให้ต้องบริหารจัดการให้ดี
เพราะการบริหารจัดการระเบียบทางการเงินได้ดี มีการวางแผนอย่างรอบครอบรัดกุม นอกจากจะทำให้รอดในทุกสภาพเศรษฐกิจแล้วยังจะช่วยให้เกิดความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินขึ้นได้ด้วย
โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจที่เสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางการเงิน เพราะพิษโควิด 19 เล่นงานจนทำให้รายรับลดน้อยชะลอตัวทั้งในภาคธุรกิจและครัวเรือน
ทางเลือกของการรอดจากสถานการณ์นี้คือการเข้มงวดกับการใช้จ่าย จัดระบบระเบียบทางการเงินใหม่
และหากใครยังไม่เริ่มต้นวางแผนทางการเงินอย่างจริงจัง ก็น่าจะได้บทเรียนกันไปบ้างแล้วในช่วงที่เศรษฐกิจหยุดชะงักจารการล็อคดาวน์เมือไปแล้วถ้วนหน้า
ถ้าไม่เริ่มต้นให้ความสำคัญกับการจัดการด้านการเงินก็เห็นทีว่าจะไม่รอด เพราะมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังคงดิ่งลง และอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 2 ปีกว่าจะฟื้นเศรษฐกิจให้กลับสู่ปกติ ซึ่งแน่นอนว่าอะไรๆ ย่อมเกิดขึ้นได้บนความมั่นคงทางการงานที่อาจจะไม่มั่นคงอีกต่อไปในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ดังนั้นหากอยากอยู่รอดผ่านสถานการณ์นี้และมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้น
นี่คือเทคนิควิธีรัดเข็มขัดทางการเงินให้รัดกุมและจัดการได้อย่างเป็นระบบระเบียบ
เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ในทุกสภาพเศรษฐกิจ
1. ประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตัวเอง
ด่านแรกคือต้องรู้ตัวเองก่อนว่าสถานการณ์ทางการเงินส่วนตัวเป็นอย่างไร
ยังมีความมั่นคงและมีความสามารถในการหาเงินได้ปกติดีหรือไม่ มีรายรับเป็นอย่างไร
รายจ่ายมากแค่ไหน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ
คือการจดบันทึกทำบัญชีรับ-จ่ายที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต แค่เพียง 1
เดือนก็จะเห็นแล้วว่ารูรั่วอยู่ตรงไหน อะไรที่ควรตัดหรือมีต่อไป เพื่อประเมินสุขภาพทางการเงินละวางแผนรับมือได้อย่างรอบครอบรัดกุม
โดยคิดจากรายรับที่มีในปัจจุบันเป็นตัวตั้งในสภาพที่ปกติไปจนถึงต้องรัดเข็มขัดกันอย่างเหนียวแน่น
เพราะถ้าผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างช่วงขณะนี้ไปได้ ในวันที่เศรษฐกิจการเงินกลับมาเป็นปกติดี
ก็อาจจะทำให้กลายเป็นคนมั่งมีไปเลยก็ได้
2. ลดรายจ่าย-ประหยัดให้สุดในทุกเรื่อง
เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำ โดยเฉพาะรายจ่ายฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นทั้งหลาย
ควบคุมการใช้ไฟฟ้าประปาและค่ากินอยู่ในครัวเรือน ลดการท่องเที่ยวลง เพื่อยุติการรั่วไหลของเงินที่ควรไว้ใช้สำหรับเรื่องจำเป็น
ในขณะที่การหารายได้เสริมนั้นทำได้ยากเต็มที ดังนั้นการลดรายจ่ายคือหนทางเพิ่มความมั่นคงทางการเงินได้ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
3. หักเก็บก่อนใช้อย่างน้อย 15% ของรายได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือฟรีแลนซ์ การหักรายได้ที่ได้รับมาในแต่ละรอบบัญชีเก็บไว้ก่อน
เป็นกฎเหล็กของการเก็บเงินที่ดี
เพราะในความเป็นจริงแล้วการรอให้เงินเหลือแล้วจึงค่อยเก็บนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากไปจนถึงไม่สามารถทำได้เลย
เพราะเมื่อมีเงินอยู่ในมือคนเราจะหาเรื่องใช้เงินในมือนั้นให้หมดไปโดยใช้อารมณ์นำเหตุผลเสมอ
ซึ่งเป็นผลมาจากมนุษย์เรามีพฤติกรรมการใช้เงินตามอารมณ์มากกว่าเหตุผล
ทั้งนี้เงินที่หักเก็บไว้ควรจะอยู่ในบัญชีที่ไม่ได้ผูกติดกับแอพพลิเคชั่น
บัตรเดบิต หรือเอทีเอ็ม ที่พร้อมจะเข้าถึงข้อมูลบัญชีทางการเงินได้แค่เพียงปลายนิ้ว
เพราะมีโอกาสที่คนเราจะหาเหตุผลแบบถูกอารมณ์ครอบงำในการใช้เงินเก็บนั้นๆ ได้ง่าย ทางที่ดีควรจัดสรรเงินเก็บส่วนนี้ไว้ในรูปแบบเงินหุ้นสหกรณ์ฯ
บัญชีเงินฝากประจำ พันธบัตร หรือฉลากออมทรัพย์ ก็จะเป็นการปลอดภัยต่อตัวเองได้ดีกว่า
และยังเป็นหนทางแห่งการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณที่ดีอีกด้วย
4. ลงทุนในประกันชีวิต ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่าไง ราคาค่ารักษาพยาบาล ค่าวิชาชีพแพทย์ ค่าพยาบาลและค่ายารักษาโรคก็ไม่เคยลดลงเลย
นอกจากนี้ค่ารักษาพยาบาลยังจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้หมดเนื้อหมดตัวหรือทำให้เงินเก็บมาทั้งชีวิตหายไปได้ในพริบตา
ดังนั้นการมีประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุไว้จึงเป็นเสมือนหลักประกันอันมั่นคง
ที่จะทำให้ไม่ต้องหมดตัวไปกับค่ารักษาพยาบาลที่แสนแพง
หรืออาจเลวร้ายกว่านั้นคือเกิดสภาพหนี้จากค่ารักษาพยาบาลเข้าไปอีก ฉะนั้นจงทำไว้เถอะ
เพราะถ้าอย่างน้อยรักษาโรคไม่หายจนถึงแก่การเสียชีวิตลงไป สามี ภรรยา พ่อ แม่
บุตรหลาน หรือเครือญาติ
จะได้มีเงินจากเบี้ยประกันไว้เป็นทุนในการตั้งต้นชีวิตหรือจัดการงานศพให้โดยที่ไม่ทำให้คนที่คุณรักต้องเดือดร้อน
5. งดการลงทุนในทุกความเสี่ยง การลงทุนในความเสี่ยงทุกชนิดควรเลี่ยงหลบไปเลยในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้
รวมถึงการพนันที่คนไทยทั่วประเทศ ทุกวงการชื่นชอบจนกลายเป็นกระแสนิยมและติดเป็นนิสัย
อย่างการเสี่ยงซื้อลอตเตอรี่หรือหวยในภาษาชาวบ้าน ที่ทำให้ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าได้ถึงเดือนละ
2 ครั้ง เพราะทุกคนมีความฝันถึงรางวัลใหญ่อันยั่วยวน ที่เป็นภัยคุกคามต่อการจัดระเบียบทางการเงินเป็นอย่างยิ่ง
ในสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ไม่มีงานทำหรือรายได้ลดลง ผู้คนจะยิ่งกล้าเสี่ยงโชคด้วยการซื้อลอตเตอรี่กันมากขึ้น
เพราะมีความหวังที่แม้จะลมๆ แล้งๆ
ก็ยังหวังกันทุกรอบว่าอาจถูกรางวัลใหญ่เข้าในสักวันหนึ่ง ซึ่งหากการเสี่ยงนี้กลายเป็นพฤตกรรมที่เสพติดไปโดยยากจะยับยั้งช่างใจได้
ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง
6. จัดเก็บเงินสดไว้ใช้เผื่อในกรณีฉุกเฉิน
หลังมีการหักเงินเก็บออมไว้ใช้ในระยะยาวไปจนถึงเป็นการวางแผนเพื่อเกษียณไปแล้ว
ก็จำเป็นต้องมีเงินสดไว้ใช้เผื่อในกรณีฉุกเฉินด้วยเช่นกัน
เพราะชีวิตมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ทุกวัน เช่น ลูกป่วย รถเสีย บ้านชำรุด
ล้วนเป็นเหตุมาบั่นทอนสถานการณ์ทางการเงินให้สะดุดหยุดชะงักได้ทั้งสิ้น
ซึ่งการวางแผนการเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินที่ดี ควรมีไว้ 3-6 เท่าของรายได้ที่หาได้เฉลี่ยตลอดเดือนในช่วงปกติ
และอยู่ในบัญชีที่พร้อมเบิกจ่ายได้ตลอดเวลา
7. ชำระหนี้ที่ต้องชำระอย่าผิดนัด หากชีวิตมีภาระหนี้สินพัวพันอยู่ในสภาพการที่สภาพคล่องทางการเงินลดลง
แต่ยังคงชำระได้ไหว การคงสภาพลูกหนี้ที่ดีด้วยทำชำระหนี้ตรงเวลาเป็นประจำสม่ำเสมอ
แม้จะเป็นเพียงยอดขั้นต่ำก็ควรจะทำต่อไป เพราะเชื่อเถอะว่าการปล่อยให้เป็นหนี้ค้าง
หนี้เสีย หรือผิดนัดชำระ
นั้นเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวดมากกว่าการรู้ว่ายอดเงินที่จ่ายเพียงขั้นต่ำในยอดบัตรเครดิตนั้นไปลดเงินต้นเพียงเล็กน้อย
และเหลือเป็นดอกเบี้ยมากมายเสียอีก
เพราะการผิดนัดชำระจะทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวดีดสูงขึ้นจากอัตราปกติ
อีกทั้งยังตามมาด้วยเบี้ยปรับ และค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกมากมาย ดังนั้นการรักษาเครดิตไว้ในสภาพดี
ก็เป็นการจัดระเบียบทางการเงินที่ควรกระทำ และหากถ้าไม่สามารถผ่อนชำระต่อไปได้ไหว
การเดินเข้าหาเจ้าหนี้เพื่อปรับสภาพโครงสร้างหนี้ใหม่ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามไปในสภาพการณ์เช่นนี้ด้วยเช่นกัน
สุดท้าย หากไม่มีเหตุผลและความจำเป็นเพียงพอ อย่าก่อหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นอีกในช่วงนี้ เพราะอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ และส่งผลต่อรายจ่ายในระยะยาวด้วย หรือหากอยากลงทุนอะไรสักอย่าง ควรดูในแน่ชัดก่อนว่าสามารถไปได้ อยู่ในกระแส และเป็นสิ่งที่ผู้คนจำเป็นต้องใช้ เพื่อประกันความเสี่ยงในเบื้องต้น
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
ผู้บริโภคขาดกำลังซื้อ เศรษฐกิจไทยยังไม่พ้นปากเหว
‘SMEs’ ฟันเฟืองพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด 19