แม้ว่าความไม่แน่นอนเกี่ยวกับกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป
(Brexit)
ทำให้ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส
เซอร์วิส ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษลงสู่เชิงลบ เพราะเป็นผลมาจากกระบวนการกำหนดนโยบายปัจจุบันของอังกฤษประสบกับภาวะชะงักงัน
แต่ทว่าหลายประเทศก็ยังมุ่งที่จะสานความสัมพันธ์กับอังกฤษหลังจาก Brexit ไม่เว้นแม้ “เวียดนาม” ซึ่งมีแผนผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี (Free Trade Agreement: FTA) ระหว่างเวียดนาม-อังกฤษ ทันทีที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปสำเร็จ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ก่อนหน้านี้ นาย Tran
Ngoc An เอกอัครราชทูตเวียดนาม ณ สหราชอาณาจักร
ออกมาให้ความเห็นว่า
นักลงทุนชาวอังกฤษมองเวียดนามเป็นหนึ่งในจุดปลายทางที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
และจะร่วมกันส่งเสริมกลไกความร่วมมือทวิภาคีใหม่ โดยเฉพาะ FTA ทวิภาคีภายหลัง Brexit ซึ่งหากมีเอฟทีเอเกิดขึ้นจะทำให้การลงทุนจากอังกฤษไหลเข้าสู่ประเทศเวียดนาม
และมูลค่าการค้าระหว่งอังกฤษและเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตามข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
ระบุว่ากำลังริเริ่มการเจรจาต่อรอง FTA ในปี
2563 หากอังกฤษสามารถดำเนินการตามแผนการ Brexit
ได้ตามแผน
ทั้งนี้ ปัจจุบันมูลค่าการค้าระหว่างอังกฤษ –
เวียดนาม ในปี 2018 อยู่ที่ 6,740 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบกับปี 2017 และในช่วงมกราคม - สิงหาคม 2019 อยู่ที่
4.53 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เพื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2018
สอดคล้องกับมุมมองของ นาย Gareth
Ward เอกอัครราชทูต สหราชอาณาจักร ณ
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เปิดเผยว่า หลังจาก BREXIT ทั้งสองประเทศจำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ระหว่างกันมากขึ้น นับจากที่ได้กลายเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กันเมื่อปี
2010 และผลพวงจากการจัดทำข้อตกลงการค้าเอฟทีเอ จะทำให้อังกฤษเป็นประเทศอันดับสามในประเทศใน
EU ที่เข้ามาลงทุนเข้าในเวียดนาม และแท้จริงอาจจะมีตัวเลขที่มากกว่านี้
เพราะยังมีการลงทุนโดยบริษัทของอังกฤษที่ผ่านมาทางบริษัทย่อยที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์
หรือฮ่องกง
ทำไมต้องเวียดนาม ?
เหตุผลสำคัญที่นักลงทุนอังกฤษมองตลาดเวียดนาม
เนื่องจากศักยภาพในการเติบโตของตลาด การเปิดกว้างต่อการค้าโลก และมุ่งเน้นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตามนักลงทุนต้องการความพร้อมด้านกระบวนการและกฎหมาย หรือที่เรียกว่าความง่ายในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
ในปีที่ 2018 อังกฤษได้เข้ามาลงทุนโครงการใหม่ในเวียดนามรวม
92 โครงการ มูลค่า 380 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปีนี้จนถึงวันที่ 20 กันยายน 2019
มีโครงการที่ลงทุนของอังกฤษที่เข้ามายังเวียดนามรวมทั้งสิ้น 368 โครงการ มูลค่า
3.64 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย เช่น
บริษัท BP
บริษัท Vadafone บริษัท P&O บริษัท Pilkington บริษัท GlaxoSmithKline บริษัท HSBC และบริษัท Standard Chartered เป็นต้น
นาย Oliver Reynolds นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Focus Economics ระบุว่าหลังจาก Brexit สหราชอาณาจักรจะพยายามสานต่อความสัมพันธ์กับเวียดนามต่อไป และใช้ความตกลง EU-Vietnam FTA เป็นแม่แบบสำหรับข้อตกลงการค้าทวิภาคี
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งเวียดนามได้เตรียมพร้อมการส่งเสริมการลงทุน
เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปด้วย โดย นาย เหงียน ซวน ฟุก
นายกรัฐมนตรีเวียดนาม
อนุมัติแผนการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคธุรกิจเอกชนในปี 2568 - 2573 ซึ่งจะมีการปรับปรุงการลงทุน สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ
เพื่อสร้างความมั่นใจและส่งเสริมการดำเนินงานอย่างยั่งยืนของบริษัทเอกชน
การสนับสนุนให้ธุรกิจใช้รูปแบบที่ยั่งยืนและเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดประหยัดทรัพยากรธรรมชาติและปกป้องสิ่งแวดล้อม
แผนดังกล่าวเน้นถึงการส่งเสริมการเริ่มต้นธุรกิจใหม่และการดำเนินนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการปกครองและคณะกรรมการจัดการธุรกิจ โดยมีเป้าหมายจะมีจำนวนแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ
6-8 ต่อปี รายได้เฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ
25-30 ต่อปี และขอให้หน่วยงานทุกระดับรวมตัวกันดำเนินโครงการตามแผนดังกล่าว
เป็นที่น่าจับตามองว่าการสานสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษ-เวียดนามในครั้งนี้ จะสร้างแรงดึงดูดการลงทุนเข้าไปยังเวียดนามมากน้อยเพียงใด ในฐานะสมาชิกอาเซียนจังหวะการก้าวครั้งนี้ถือว่าสำคัญไม่น้อย
เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน แต่ EEC ยังสดใส
Brexit ความอลหม่านที่ยังไม่จบ !