สังคมดิจิทัลมีบทบาทมากขึ้น
จากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้สะดวก
และรวดเร็วกว่าอดีต
ภาคธุรกิจก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้ธุรกิจในรูปแบบ
"เศรษฐกิจแบ่งปัน" หรือ Sharing Economy จึงเป็นรูปแบบธุรกิจที่กำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั่วโลก
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนกว่า รูปแบบธุรกิจ Sharing Economy นี้ จะแตกต่างไปจากการทำธุรกิจแบบเดิม เพราะเป็นการแบ่งปันทรัพยากรระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ โดยไม่ถ่ายโอนความเป็นเจ้าของทรัพยากร เมื่อมีการถือครองทรัพยากรมากๆก็จะแบ่งปันหรือแลกเปลี่ยนให้กับผู้ที่มีความต้องการในทรัพยากรนั้นๆ เช่นกัน ทั้งนี้การแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างกันนั้นจะดำเนินการผ่านตัวกลางที่เป็นแพลตฟอร์มในระบบดิจิทัลหรือออนไลน์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ธุรกิจรูปแบบนี้ขยายวงกว้างออกไปทั่วโลก โดยเฉพาะสหภาพยุโรปได้มีความนิยมธุรกิจนี้อย่างแพร่หลาย ซึ่งจากข้อมูลของ "Pricewaterhouse Cooper" ระบุว่าประเทศเยอรมนีเป็นตลาด Sharing Economy ที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป ซึ่งไม่น่าแปลก เพราะเยอรมนีเป็นประเทศเศรษฐกิจหลักของสหภาพยุโรปมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ทำให้ตลาดนี้ขยายวงกว้างมาก โดยเมื่อ 2 ปี ก่อน หรือราวปี 2560 มูลค่า Sharing Economy มีมูลค่าร่วมเท่ากับ 22,900 ล้านยูโร หรือประมาณ 767,150 ล้านบาท (คิดที่อัตราแลกเปลี่ยน 33.50 บาทต่อยูโร) ซึ่งจะแบ่งเป็นหลายประเภท ทั้งการเงิน ธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย ธุรกิจคมนาคมขนส่ง ธุรกิจจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจสื่อสารและบันเทิง และธุรกิจเครื่องจักร
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ
กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี วิเคราะห์ว่า เทรนด์ของธุรกิจ Sharing Economy ในมุมมองของชาวเยอรมันเห็นว่าจะเป็นธุรกิจแห่งอนาคต
ช่วยทำให้ชาวเยอรมันมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะมีข้อดีจากการลดการใช้ทรัพยากรและค่าใช้จ่าย
ด้วยเหตุนี้มูลค่าตลาดของธุรกิจนี้ จึงเพิ่มขึ้นอีก 5.3%
ในปี 2561 หรือคิดเป็นมูลค่า 24,100
ล้านยูโร หรือ 807,350 ล้านบาท
ในจำนวนนี้ประเภทธุรกิจ 'Car Sharing' ถือว่าเป็นธุรกิจดาวรุ่งประเภทหนึ่งที่มาแรงไม่น้อยในเยอรมัน เพราะเป็นธุรกิจที่ปรับตัวสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มีรูปแบบการใช้ชีวิตเปลี่ยน แม้ว่าเยอรมันจะเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ แต่การเป็นเจ้าของรถยนต์ลดลง จึงนำมาสู่ธุรกิจจัดหารถขนส่งผู้ตามความต้องการซึ่งผู้บริการสามารถเลือกใช้บริการได้อย่างอิสระ มีความยืดหยุ่นสูง โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมสิทธิ์หรือรับภาระในสินค้า ส่งผลให้ธุรกิจกำลังถูกพูดถึงและได้ความสนใจอย่างมาก ในกลุ่มนักลงทุนทั้งตัวผู้ผลิตรถยนต์ และผู้ให้บริการรถเช่า มีผู้ประกอบการกระโดดเข้าร่วมธุรกิจนี้ 16 ราย และมีบัญชีผู้ใช้งานประมาณ 2 ล้านคนครองสัดส่วน 50% ของตลาดคาร์แชร์ริ่งทั่วโลก
บริการ Car
Sharing ขณะนี้มี 3 รูปแบบ
1) Stationary Model คือ ผู้ใช้ทำธุรกรรมเช่ารถผ่านแอพพลิเคชั่้น
จากนั้นเดินทางมารับรถที่สถานี และนำมาคืนกลับที่สถานีเช่นเดิม
ระบบนี้อาจไม่ยืดหยุ่นมากนัก แต่สะดวกต่อผู้ให้บริการในการตรวจสอบรถ
โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตหากใช้วิธีการนี้จะทำให้สะดวกในการชาร์จเป็นต้น
2) Free Floating Model คือ ระบบที่ผู้ใช้บริการ
สามารถตรวจสอบข้อมูลและเลือกใช้บริการรถยนต์ที่อยู่ระยะใกล้ที่สุด
ไม่จำเป็นต้องไปรับและส่งคืนที่สถานี
ทำให้ความยืดหยุ่นสูงสำหรับผู้ที่ต้องการใช้บริการแบบวันเวย์ทริป และยังเป็นการลดต้นทุนการประกอบธุรกิจ
3) Peer to Peer Model คือ รูปแบบนี้ผู้ใช้บริการไม่ได้ใช้บริการรถยนต์ของบริษัท
แต่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งผู้ใช้สามารถตรวจสอบผ่านแอพลิเคชั่น
และรับกุญแจจากเข้าของรถยนต์โดยตรง และไม่ต้องนำกลับมาคืนที่สถานี
แต่ทั้งนี้ระบบปฏิบัติต้องมีความน่าเชื่อถือสำหรับเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคลที่จะเข้ามาร่วมให้บริการ
อย่างไรก็ตาม
ตลาดนี้จึงมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก
โดยคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ใช้งานจะเพิ่มอย่างก้าวกระโดดเป็น 15 ล้านคนในปี 2563
เนื่องจากผู้บริโภคจะมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางลดลง
มีต้นทุนภาระลดลงหากเทียบกับการครอบครองรถยนต์ ซึ่งจะต้องเสียทั้งค่ารถยนต์
ค่าประกันภัยและค่าบำรุงรักษา
ไม่เพียงเท่านี้
อีกด้านหนึ่งข้อดีของการดำเนินธุรกิจให้บริการ Car Sharing ไม่เพียงสะดวก รวดเร็ว และยืดหยุ่นตามเทคโนโลยีเท่านั้น
ช่วยลดภาระผู้บริโภคเท่านั้น แต่ธุรกิจนี้ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นการลดปัญหาการจราจรอีกด้วย