‘วีแกน’ เจาะตลาด Niche Market ทางเลือกผู้ผลิตอาหารไทย
‘มังสวิรัติ’ หรือ ‘วีแกน’ ถือเป็นกระแสการบริโภคที่กำลังมาแรงในสังคมยุคปัจจุบันที่ผู้คนหันมาสนใจรักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งกระแสนี้ไม่เพียงจะส่งผลให้สุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้รับการเอาใจใส่มากขึ้น
แต่ยังทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีการพัฒนาและเติบโตมากขึ้น
จนทำให้ผู้ประกอบการไม่อาจมองข้ามถึงโอกาสในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกระแสนี้ได้
ทั้งนี้ตามคำจำกัดความของมังสวิรัติ (The Vegetarian Society) คือผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้มาจากการทรมานสัตว์ โดยชาวมังสวิรัติจะเลือกบริโภคอาหารจำพวก ผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่วต่างๆ เท่านั้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แต่สำหรับวีแกนในปัจจุบันยังสามารถแบ่งตามความเคร่งครัดในการปฏิบัติได้
อีกอย่างน้อย 3 ประเภท คือ
(1) วีแกน (Vegan) หรือผู้บริโภคที่ไม่บริโภคทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเนื้อสัตว์
ชิ้นส่วนที่ได้จากการเบียดเบียนสัตว์ หนัง ขน เขา
กระดูกหรืออะไรก็ตามที่เป็นการเบียดเบียนสัตว์อย่างเคร่งครัด ซึ่งชาว Vegan
กลุ่มนี้จะบริโภคเฉพาะอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากผัก ผลไม้
ธัญพืชแบบ 100%
(2) Vegetarian หรือผู้บริโภคที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังสามารถบริโภคน้ำผึ้ง ไข่ นม และเนยได้
(3) Flexitarian หรือผู้บริโภคมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น สามารถทานเนื้อสัตว์ได้เป็นครั้งคราว
ข้อมูลจาก The Vegan Society ได้เผยว่า
แนวโน้มความนิยมการเป็นวีแกนจากทั่วโลกเพิ่มสูงมากถึง 987% จากปี
2560 โดยในปี 2561 ยอดขายของอาหารวีแกนเติบโตสูงถึง
14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้บริษัทวิจัยตลาด Markets
and Markets ได้คาดการณ์อีกว่า ตลาดวีแกนจะเติบโตขึ้นสูงถึง 200,000
ล้านบาทภายในปี 2566
โดยปัจจุบันพบว่าแนวโน้มการบริโภคอาหารมังสวิรัติในสหราชอาณาจักรที่มีประชากรชาววีแกนมากที่สุดในโลก
โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า 350% ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา
ขณะที่ในยุโรปประชากรมังสะวิรัติมากที่สุดคือ เยอรมนี และสเปน ตามลำดับ
รวมทั้งตลาดในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา
ที่มีประชากรวีแกนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งจากการสำรวจและวิเคราะห์ของบริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด
Fior Markets พบว่า ตลาดสำหรับสินค้าอาหารสำเร็จรูปแบบวีแกนกำลังเติบโตขยายตัวอย่างมาก
โดยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี
2026 จากที่เคยมีมูลค่าเพียง 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในปี 2018 ที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ซึ่งมีการบริโภคสินค้าประเภทนี้คิดเป็นสัดส่วนถึงกว่าร้อยละ
35 ของทั้งหมด ซึ่งทำให้มูลค่าการจำหน่ายอาหารที่ทำจากพืช (Plant-based
Foods) ในสหรัฐอเมริกาที่มากกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 8 จากปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้
เทรนด์วีแกนประเทศในทวีปเอเชียเองก็เติบโตรวดเร็วไม่แพ้ตะวันตก
โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่เป็นประเทศเกษตรกรรม มีทั้งพืชเศรษฐกิจและวัตถุดิบสำคัญสำหรับการทำอาหารมังสวิรัติ
ซึ่งจากผลสำรวจของบริษัทวิจัยการตลาดระดับโลกอย่าง
Mintel ก็ได้พบว่าประชาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชาววีแกนหน้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง
440% ในช่วงระยะเวลาเพียง 4 ปี ตั้งแต่
2555 – 2559 ในขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีอัตราการเติบโตของการบริโภคอาหารมังสวิรัติอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรวีแกนสูงถึง 2.3 ล้านคน
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดอาหารวีแกนขยายตัวเพิ่มขึ้น
มาจากการขยายตัวของกลุ่มผู้บริโภควีแกนด้วยเหตุผลต่างๆ อาทิ เพื่อสุขภาพ
เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือต่อสู้เพื่อสิทธิสัตว์
รวมไปถึงกลยุทธ์การเจาะตลาดแบบเฉพาะเจาะจงผ่านทางสื่อ อินเตอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย
ด้วยความแรงของกระแสวีแกนที่นับวันจะขยายตัวมากขึ้น
และตลาดเนื้อมังสวิรัติหรือเนื้อวีแกนซึ่งไม่เพียงแต่จะดึงดูดผู้บริโภคที่เป็นมังสวิรัติเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงผู้บริโภคอื่นๆ ที่ใส่ใจต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อมด้วย
กลุ่มวีแกนจึงเป็นผู้บริโภคอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องการขยายตลาดสินค้าเฉพาะกลุ่ม
(Niche Market) เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดสินค้าทั่วไป
(Mass Market) ที่สูงขึ้นทุกวัน
ผู้ประกอบการไทยจึงควรติดตามกระแสความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคมังสวิรัติ
เพื่อประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ผ่านการใช้วัตถุดิบที่หลากหลายของไทยในการปรุงแต่งอาหารวีแกน
และรังสรรค์เมนูซึ่งมีรสชาติแปลกใหม่ให้สามารถทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์
ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้
อีกทั้งผู้ผลิตอาหารไทยก็มีประสบการณ์ในการผลิตอาหารมังสวิรัติหรืออาหารเจมาไม่น้อย
อาจนำมาพิจารณาว่าจะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ รูปแบบ และกลยุทธ์การขายให้เหมาะสม เพื่อขยายตลาดสินค้าสำหรับผู้บริโภคในกลุ่มนี้เพิ่มเติมได้ไม่ยากจนเกินไปนัก
และแม้ว่ากลุ่มผู้บริโภคอาหารประเภทวีแกนและมังสวิรัติยังมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่องทุกปี
ที่สำคัญมีความพร้อมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าโดยที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านรายได้
นับเป็นโอกาสตลาดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
อ้างอิง : https://www.foodincanada.com/food-in-canada/