ทราบหรือไม่ว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ล้มเหลว คือการไม่มีแผนรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่ดี
จากสถานการณ์ที่เอสเอ็มอีไทยต้องเผชิญในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น สำนักส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(สสว.) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทั่วประเทศ จำนวน 2,655 ราย 21 สาขาธุรกิจ
เรื่องการปรับตัวและมาตรการเอสเอ็มอีในภาวะวิกฤตไวรัสโควิด–19 ในช่วงเดือนมีนาคม 2563 พบว่า
ยอดขายของกิจการในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมียอดขายลดลง ทำให้เอสเอ็มอี 3.8% มีรายได้ลดลงกว่า 80% โดยสาขาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
คือร้านอาหารที่ไม่ได้เข้าร่วมเดลิเวอรี และธุรกิจอุปโภคบริโภคดั้งเดิม
นอกจากนี้ยังพบว่า เอสเอ็มอีกว่า 33.5% ยังไม่มีแผนในการปรับตัวรับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
รองลงมา คือมีการปรับตัวลดต้นทุนทางธุรกิจ คิดเป็น 18.8% เพิ่มช่องทางตลาด
เช่น ขายออนไลน์ บริการเดลิเวอรี คิดเป็น 12.8%, หยุดกิจการชั่วคราว 8.5%, จัดโปรโมชั่นสู้สถานการณ์
6.2%, ลดจำนวนแรงงานและลดเงินเดือน
5.4%, เปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นหรือหารายได้เสริม
4.7%, ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ
3.8%, ปรับราคาสินค้าและบริการ
3.7%, ปรับไปตามแต่ละสถานการณ์
1.4% และอื่นๆ 1.2%
กลุ่มที่น่าเป็นห่วงว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากที่สุด ที่อาจส่งผลให้ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ไปจนถึงเลิกกิจการ คือกลุ่มผู้ประกอบการกว่า 33.5% ที่ยังไม่มีแผนรับมือหรือปรับตัว
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
คำถามที่เอสเอ็มอีต้องตอบ...จะปรับตัวเมื่อไหร่?
ทั้งนี้เป็นไปได้มากว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มตัวอย่างกว่า
33.5% ที่ไม่มีการวางแผนรับมือหรือปรับตัวนั้น
อาจจะเป็นธุรกิจประเภทที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมไปสู่สิ่งใหม่ได้ หรือไม่ก็เป็นที่วิสัยทัศน์ในการดำเนินงานของผู้ประกอบการเอง ที่อาจคิดว่าสถานการณ์นี้จะอยู่ไม่นาน
รวมไปถึงไม่คิดว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนธุรกิจที่ทำมาแต่ดั้งเดิมไปสู่รูปแบบใหม่ได้
ซึ่งในยุคที่หลายสิ่งในชีวิตของคนๆ หนึ่ง ถูกเชื่อมโยงด้วยโครงข่าย IoT อย่างในปัจจุบัน มักจะพบว่าอะไรๆ
ก็เกิดขึ้นหรือเป็นไปได้ แม้แต่การขายหมูเป็นๆ
หน้าฟาร์มก็สามารถถูกเชื่อมโยงให้เกิดการซื้อขายได้แล้วในแพลตฟอร์มออนไลน์
กรณีตัวอย่างดังที่สาวชาวจีน
ชื่อ "โจว หงเจิน" จากหมู่บ้านตงวาน
มณฑลส่านซี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน สร้าง Story telling บอกเล่าเรื่องราวการเลี้ยงหมูในพื้นที่ผ่านการไลฟ์สด
ทำให้ผู้คนได้เห็นสภาพแวดล้อมในการผสมพันธุ์และการเติบโตของหมูที่เธอเลี้ยง จนเกิด
Content ที่ดึงดูดใจทำให้ผู้คนอยากซื้อหมูที่เธอขาย
เธอจึงเปิดการขายหมูชุดแรกได้หมดเกลี้ยงผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตในช่วงปลายปี
2018
ต่อมาเธอได้ช่วยคนในหมู่บ้านอีก 3 ครัวเรือนขายหมูจนหลุดพ้นจากความยากจน
และทำกำไรจากการไลฟ์ขายหมูออนไลน์ได้ถึงปีละ 3.6 ล้านบาท
เช่นเดียวกับ Pyonekathy
Naing ส.ส.หญิง เมืองกะลอ สังกัดพรรค NLD ประเทศเมียนมา ที่ลุกขึ้นมาจัดระเบียบตลาดสดใหม่ในยุคโควิด-19
แพร่ระบาด แบบรักษาระยะห่าง
เพื่อช่วยให้ชาวบ้านร้านตลาดสามารถทำการค้าได้อย่างปลอดภัย
เปลี่ยนจากสถานที่ทึมทึบอากาศไม่ระบาย มาเป็นลานโล่งกว้าง ตั้งแผงห่างกัน 2
เมตร กางร่มสีสันสวยงามขึ้น 4 แห่ง
โดยได้รับการสนับสนุนร่มกันแดดให้แก่พ่อค้าแม่ค้าจากภาคเอกชน
ทำให้ยังคงสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้
ซึ่งจัดเป็นการปรับเปลี่ยนของธุรกิจแบบดั้งเดิมอย่างเห็นภาพได้ชัด
บางครั้งเราก็มองว่า...ก็แค่เรื่องง่ายๆ ใครก็คิดได้ แต่ทำให้ประสบความสำเร็จสิเรื่องยาก
ซึ่งจริงอยู่ว่ามีส่วนจริง แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็แพ้ตั้งแต่ต้น
อาจต้องรอให้รัฐช่วย ?
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงกิจการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบ
เพื่อประครองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นไปแบบไม่ให้หมากล้มทั้งกระดาน
เพราะหากธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นเสมือนตัวเบี้ยสำคัญในกระดานโดมิโนตัวใดตัวหนึ่งล้มลงหรือล้มลงทั้งหมด
ย่อมส่งผลกระทบแบบโดมิโนในระบบเศรษฐกิจไทยตามมาอย่างแน่นอน
และถ้าปล่อยให้ล้มหายตายไปโอกาสที่จะกลับมาฟื้นฟูเพื่อให้เข้าที่เข้าทางได้ใหม่
อาจต้องใช้ระยะเวลาหลายปีไปจนถึงไม่มีโอกาสฟื้นได้อีกเลย
ดังนั้นในช่วงเวลาที่เอสเอ็มอีไทยเดือดร้อนรัฐบาลจำต้องยื่นมือเข้าช่วย
ซึ่งรัฐบาลได้ออกมาตรการการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยไปแล้ว 12 มาตรการด้วยกัน คือ
1. มาตรการพักเงินต้น
ลดดอกเบี้ย ขยายเวลาชำระหนี้จากสถาบันการเงิน
2. มาตรการลดและเลื่อนจ่ายค่าน้ำค่าไฟ
3. มาตรการปล่อยกู้
Soft
Loanดอกเบี้ย 2% เวลา
2 ปี
4. มาตรการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์
5. มาตรการลด
เลื่อน ชะลอ การเก็บค่าธรรมเนียม ค่าเช่าที่จ่ายให้ภาครัฐ
6. มาตรการเร่งคืน
VAT ให้ผู้ประกอบการภายในประเทศ
7. มาตรการเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณ
8. สถานประกอบการนำรายจ่ายค่าจ้างหักภาษีได้ 3 เท่า
9. ลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เป็น
1.5 %
10. กองทุนประกันสังคมให้วงเงินสินเชื่อ 3% 3 ปี
11. ลดหย่อนภาษีเงินได้ 1.5 เท่า
สำหรับ SME ที่เข้าร่วมสินเชื่อ
Soft Loan
12. ลดเงินสมทบประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้างลง 0.1%
3 เดือน
ความช่วยเหลือที่ภาครัฐพยายามหามาพยุงธุรกิจเอสเอ็มอี
อาจเป็นทางออกที่ช่วยบรรเทาทุกข์ของผู้ประกอบการได้ในระยะเวลาหนึ่ง
ให้เอสเอ็มอีสามารถประครองตัวเองผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ ไม่สามารถช่วยได้ตลอดไป และสุดท้ายเอสเอ็มอีเองนั่นล่ะที่ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงช่วยเหลือตัวเอง
หรือคุณจะยอมแพ้!
การระบาดของโควิด-19 ไม่เพียงแต่จะทำให้การดำรงชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้เปลี่ยนไป
แต่กำลังจะเปลี่ยนภาพเศรษฐกิจและธุรกิจในเกือบทุกด้านบนโลกใบนี้ด้วย
นอกจากนี้การมาเยือนของโรคโควิด-19 ยังจะทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และกำลังจะกลายเป็น
“New Normal” หรือ “ความปกติใหม่”
ของโลกเศรษฐกิจ ที่พฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องมาวิ่งตามเพื่อช่วงชิงฐานลูกค้าเอาไว้ให้มากที่สุด
ในขณะที่เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะถดถอยขั้นรุนแรงจนเข้าขั้นวิกฤติ ซึ่งจัดเป็นวิกฤติรอบใหม่ที่อาจหนักกว่าวิกฤติต้มยำกุ้งช่วงปี พ.ศ.2540 โดยแบงก์ชาติได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในรูปเครื่องหมายถูก
นั่นคืออยู่ในสภาพที่ดิ่งแรงแต่พุ่งขึ้นอย่างช้าๆ
จากโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
หากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศรวมไปถึงผู้ประกอบการไทย มีการปรับตัวเข้าสู่โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกดังกล่าว กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายประเทศไทย
ให้เร่งกระตุ้นและพัฒนาด้านทรัพยากรคน เงินทุน เครื่องจักรกล เทคโนโลยี และนวัตกรรรมใหม่ๆ
ที่อาจต้องเร่งให้เกิดขึ้นเร็วกว่านโยบายแผนการพัฒนาประเทศที่วางไว้
เพราะโลกข้างหน้ามีการคาดการณ์ว่าจะถูกเชื่อมโยงด้วยโครงข่ายดิจิทัลและเทคโนโลยี ที่จะมาเป็นตัวผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบให้เร็วที่สุด ซึ่งนั่นหมายรวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยต้องปรับตัวตามกระแสเศรษฐกิจโลก และทิศทางการขับเคลื่อนประเทศของรัฐบาลไทย ที่ต้องการให้ประเทศไทยไปสู่ 4.0 ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ถ้าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นเพียงกลุ่มตัวอย่างกว่า 33.5%
จากจำนวน 2,655
ราย คือตัวแทนของกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่ปรับตัวทั่วประเทศ
นั่นเท่ากับว่ากลุ่มธุรกิจเหล่านี้อาจต้องล้มหายตายไปจากกระดานกลายเป็นเบี้ยตายที่ต้องล้มหายไปจากเกมธุรกิจ
ก็เหมือนกับชีวิตไดโนเสาร์ที่อยู่มาไม่ได้ยาวนานเหมือนกับมนุษย์
เพราะไม่มีการปรับตัวเปลี่ยนพฤติกรรมดั้งเดิม
จนทำให้พวกมันต้องสูญพันธุ์เพราะสู้ภัยธรรมชาติที่ถาโถมเข้ามาไม่ได้
สุดท้ายจึงเหลือไว้แค่เพียงภาพเล่าในหน้าประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าเหตุใดพวกมันจึงสูญพันธุ์เท่านั้นเอง
แหล่งอ้างอิง :
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/875817
https://positioningmag.com/1273586
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/877938
https://today.line.me/th/pc/article/
https://www.komchadluek.net/news/foreign/429084?utm_source=tiein&utm_medium=internal_referral