ความสำเร็จยิ่งใหญ่ท่ามกลางวิกฤตโควิด 19
ของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 37
ก็คือการสร้างมิติใหม่ลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP
ผ่านช่องทางออนไลน์ไปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2563
โดยสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ ประกอบด้วยอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ซึ่งมีประชากรรวมกัน 2,252 ล้านคน หรือคิดเป็น 30.2% ของประชากรโลก ยกเว้น “อินเดีย” ที่เป็นเพียงประเทศเดียวที่ประกาศถอนตัวไม่ร่วมการลงนามไปตั้งแต่การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อปี 2562
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การถอนตัวของอินเดียเรียกกว่าสะเทือนต่อการเจรจา
RCEP
พอสมควร ด้วยเหตุที่ตลาดนี้เดิมคาดว่าจะมีจำนวน 3,600
ล้านคนแต่หายไป 1,300 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 แต่อย่างไรก็ตาม ความตกลงฉบับนี้ยังถือว่าทรงพลังที่สุด
เพราะมูลค่าเศรษฐกิจในกลุ่ม RCEP มีจีดีพีรวมกัน 26.2
ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 817 ล้านล้านบาท คิดเป็น 30% ของจีดีพีโลก
และมีมูลค่าการค้ารวม 10.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 326 ล้านล้านบาท
คิดเป็น 27.4% ของมูลค่าการค้าโลก
และยังมีประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและญี่ปุ่นที่ยังคงอยู่
ก้าวต่อไปจากนี้สมาชิก 15
ประเทศต้องดำเนินการตามกระบวนการภายใน เพื่อให้สัตยาบันความตกลงให้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีกลุ่มประเทศอาเซียน +6 ให้สัตยาบัน ร่วมกับประเทศคู่เจรจา 3
ประเทศ รวมทั้งสิ้น 9 ประเทศจาก 15 ประเทศสมาชิก จึงจะถือว่าจะมีผลบังคับใช้ได้
ทั้งนี้คาดว่าน่าจะสำเร็จได้ในช่วงกลางปี 2564
ในส่วนไทยทำการค้ากับ RCEP
ปี 2562 มูลค่า 287,206.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 140,468.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
และนำเข้าจาก RCEP มูลค่า 146,737.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถือว่าเป็นสัดส่วนประมาณ 30% หากเทียบกับมูลค่าการค้ากับโลก
ดังนั้นไทยมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์ในการขยายตลาดการค้า และการลงทุนได้มากขึ้นจากความตกลงนี้
หากแง้มดูไส้ในข้อตกลง RCEP
จะครอบคลุม 20 ข้อบท ประกอบด้วย
1. บทบัญญัติพื้นฐานและคำนิยามทั่วไป
2. การค้าสินค้าซึ่งจะมีการเปิดตลาดให้สินค้าบางรายการสำหรับสมาชิกต่างกัน
3. กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า
จะเน้นการสะสมแบบ bilateral communication
4. พิธีการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า
5. สุขอนามัยและสุขอนามัยพืช
6. มาตรฐาน กฎระเบียบทางเทคนิค กระบวนการตรวจสอบและรับรอง
7. การเยียวยาทางการค้า
8. การค้าบริการ ภาคผนวกบริการการเงิน
ภาคผนวกบริการโทรคมนาคม ภาคผนวกบริการวิชาชีพ
9. การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา
10. การลงทุน
จะไม่มีการบังคับใช้เรื่องการระงับข้อพิพาทระหว่างนักลงทุนและรัฐ (ISDS)
11. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ
12. วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
13. ทรัพย์สินทางปัญญา
ไม่ได้มีการบังคับให้เป็นภาคี UPOV 1991 และ Budapest
Treaty
14. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
15. การแข่งขัน
16. การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ
17. บทบัญญัติเกี่ยวกับสถาบัน
18. บทบัญญัติทั่วไปและข้อยกเว้น
19. การระงับข้อพิพาท
20. บทบัญญัติสุดท้าย
หากวิเคราะห์ประเด็นที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างการเปิดเสรีการค้าสินค้า
ตามข้อมูลกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ใน RCEP
มีโอกาสที่จะเปิดตลาดให้กันมากกว่า 90% ของจำนวนสินค้าที่ค้าขายกัน
โดยเฉพาะไทยมีโอกาสจะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ไทยได้มีความตกลงแบบ
"ทวิภาคี" กับสมาชิกอยู่หลายประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น
ในความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งได้มีการลดภาษีสินค้ากว่า 9,000 รายการ
แต่การผนึกเข้าร่วม RCEP ครั้งนี้ จะทำให้ไทยได้ลดภาษีเพิ่มขึ้นอีก
207 รายการ ในกลุ่มสินค้าทั้งภาคการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม อาทิเช่น สินค้าประมง
ผลไม้ปรุงแต่ง น้ำมันถั่วเหลือง แป้งสาคู ดอกทานตะวัน กาแฟ ขนมปรัง เครื่องดื่ม
เช่น น้ำส้ม น้ำผลไม้ เป็นต้น
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียว แต่เชื่อว่าภายในความตกลงนี้จะให้ประโยชน์มหาศาล ซึ่งทางผู้ประกอบการไทยต้องติดตามศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขทางปฏิบัติในการส่งออกภายใต้ความตกลงนี้ให้ดี เพื่อเตรียมใช้ประโยชน์ในอีก 6-7 เดือนข้างหน้า