สิงคโปร์เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาในทุกด้าน
มีเศรษฐกิจที่ดี สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน
และคุณภาพประชากรล้วนอยู่ในระดับดีเยี่ยม ทว่าปัญหาของสิงคโปร์ คือ ‘อาหาร’ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลของสิงคโปร์มีความพยายามในทุกยุคสมัยในการผลักดันเรื่องความมั่นคงด้านอาหารในสิงคโปร์
ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับประเทศที่มีพื้นที่แค่ 725.7 ตารางกิโลเมตร
รวมทั้งช่วงวิกฤตการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมอาหารโลก ผู้บริโภคตื่นตระหนกและแห่กักตุนสินค้าจากซูเปอร์มาเก็ต ทำให้สินค้าจำเป็นขาดแคลน การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลต่อความล่าช้าของการขนส่งผลผลิตทางการเกษตรไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงการปิดตัวของร้านอาหาร ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความเป็นไปได้ของนโยบายการผลิตอาหารให้ได้ 30% ของความต้องการบริโภคในสิงคโปร์ 1 ภายในปี 2573 (2030) ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่มีมาก่อนวิกฤต COVID-19
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Mr.Paul Teng ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารของสิงคโปร์ กล่าวว่า แม้สิงคโปร์จะประสบความสำเร็จในนโยบายดังกล่าวภายใน
10 ปี แต่สิงคโปร์ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอาหารจากโลกอีก
70% ทั้งนี้นโยบายผลิตอาหารให้ได้ 30% ของความต้องการบริโภคในสิงคโปร์
อาจจะเพียงพอสำหรับรองรับความต้องการอาหาร หากสถานการณ์ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ แต่ด้วยสถานการณ์เชิงลบในปัจจุบัน
เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และ COVID-19 ทำให้สิงคโปร์ต้องวางแผนสำหรับการสำรองเสบียงอาหารสำหรับระยะเวลา
2-3 เดือน เพิ่มเติม
ศาสตราจารย์ S. Rajaratnam จากมหาวิทยาลัย Nanyang
Technological University กล่าวว่า วิกฤต COVID-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความจำเป็นในการสำรองเสบียงอาหาร รวมถึงปัจจัยเชิงลบที่เป็น
อุปสรรคในอุตสาหกรรมเกษตรของเอเชีย เช่น ปัญหาการรุกรานของศัตรูพืช และการเมือง ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์
ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ก็มีการประกาศใช้นโยบายรองรับอุปสรรคต่างๆ เช่น
การจัดสรรงบประมาณส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรสิงคโปร์ที่มีมูลค่าหลายล้านเหรียญสิงคโปร์
แต่การส่งเสริมนี้ก็ยังไม่เห็นผล เนื่องจากปัจจุบันสิงคโปร์สามารถผลิตอาหารได้เพียงไม่ถึง
10% ของความต้องการบริโภคภายในประเทศ
ขณะที่ในปัจจุบันจำนวนฟาร์มผักใบในสิงคโปร์มีถึง
83 ฟาร์ม โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจาก 54 ฟาร์ม ในช่วงระยะปี 2558–2562 คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตถึง
54% แต่ปริมาณผลผลิตผักใบกลับเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 11% (จาก 11,400 ตัน เป็น 12,700 ตัน)
ทั้งที่หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์ได้มีความพยายามที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรผ่านโครงการสนับสนุนเงินทุนหลายโครงการ
ทั้งนี้ การเพิ่มผลผลิตเกษตรไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากข้อจำกัดในด้านพื้นที่การทำการเกษตรของสิงคโปร์ ที่ปัจจุบันมีไม่ถึง 1% ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ
ประกอบกับสัญญาเช่าระยะสั้น ทำให้เกษตรกรสิงคโปร์ไม่สามารถลงทุนในอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่มีต้นทุนสูงได้
แต่สิ่งที่เกษตรกรสิงคโปร์สามารถทำได้ในปัจจุบัน
คือการหาวิธีป้องกันอุปสรรคต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการหยุดชะงักของการผลิต เช่น
การสร้างเรือนกระจกเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เป็นต้น นอกจากนี้
เกษตรกรสิงคโปร์ส่วนมากไม่สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนในนวัตกรรมการเกษตร โดยหน่วยงาน
Singapore Food Agency (SFA) ได้ เนื่องจากไม่สามารถจัดทำแผนดำเนินธุรกิจที่ประกอบด้วย
วัตถุประสงค์ของโครงการ และคำอธิบายที่ครอบคลุมของระบบการทำฟาร์ม เช่น
แผนธุรกิจแบบครบวงจร และประวัติความเชี่ยวชาญของทีมงาน
อย่างไรก็ตาม
เทคโนโลยีการเกษตรเป็นภาคส่วนที่เพิ่งถูกจัดตั้งขึ้นใหม่ในสิงคโปร์
ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนา เพื่อให้สามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์ เช่นเดียวกับการพัฒนาในอุตสาหกรรมอื่นๆ
อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการเกษตรของสิงคโปร์มีทั้งผู้ที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวด้วยหลายสาเหตุ
อาทิ ภัยธรรมชาติ หรือการขาดทุนจากการลงทุนในเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น การทำฟาร์มบนดาดฟ้า
CamCrop ที่ใช้ระบบปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์และ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมการเกษตรของสิงคโปร์
เหตุนี้ ความแตกต่างระหว่างการทำเกษตรแบบดั้งเดิมกับเกษตรแบบไฮเทค
คือ เกษตรกรแบบดั้งเดิมมีประสบการณ์และมีความรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อการปลูกผัก แต่เกษตรกลุ่มนี้อาจจะไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากนัก
ในขณะที่การทำเกษตรแบบไฮเทคใช้เทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ แต่เกษตรกรจะขาดประสบการณ์ด้านการเกษตร ทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าเกษตรได้มากเท่าที่ควร
ดังนั้นเพื่อการประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมการเกษตร สิงคโปร์จะต้องสร้างระบบนิเวศที่ดีในการทำเกษตร
ถึงตรงนี้คงเห็นซึ้งถึงความพยายามของสิงคโปร์ทั้งในส่วนของภาครัฐ
นักวิชาการหน่วยงานต่างๆ และเกษตรกร ที่พยายามก้าวข้ามข้อจำกัดในด้านพื้นที่และหันมาส่งเสริมการเกษตรสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
เพื่อให้สามารถผลิตอาหารได้ ซึ่งแม้จะไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศ จนนำไปสู่นโยบายการกักตุนเสบียงไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด
จากบทเรียนของการระบาดของ COVID-19
ซึ่งทำให้ซัพพลายเชนขาดช่วง และสิงคโปร์เกิดการตื่นตระหนกถึงการขาดแคลนอาหาร
แหล่งอ้างอิง : Channel News Asia -
https://www.channelnewsasia.com/
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงสิงคโปร์