‘สหภาพยุโรป’ ถือเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ
3 ของไทย มีสัดส่วน 10.65% ของการส่งออกทั้งหมด รองจากอาเซียนและจีน โดยในปีที่ผ่านมาไทยส่งออกไปสหภาพยุโรป
มูลค่า 26,144 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.76% และมาปีนี้ก็ยังต้องเผชิญกับภาวการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด
19 อีก
เครื่องมือการขับเคลื่อนการส่งออกที่สำคัญ อย่างการเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรปก็ถูกฟรีซไว้นับตั้งปี 2557 หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ แต่ล่าสุดมีสัญญาณว่าสองฝ่ายจะกลับมา "ปัดฝุ่น" เปิดการเจรจาใหม่อีกครั้ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ในฐานะเจ้าภาพหลัก สำรวจความคิดเห็นจากภาคเอกชนและภาคประชาชน ในประเด็นความตระหนัก
ความนิยม ผลประโยชน์และผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการชดเชยผลกระทบ
ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป 1,036 ตัวอย่าง
และกลุ่มผู้ประกอบการที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากเอฟทีเออีก 306 ตัวอย่าง
ปรากฎว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 60.7%
มีความเห็นว่า การเปิดเสรีการค้าจะทำให้ประเทศไทยโดยรวมดีขึ้น
ขณะที่กลุ่มที่มองว่าการเจรจาจะทำให้ประเทศไทยไม่ต่างไปจากเดิม 22%
ส่วนที่จะมองว่าการเปิดการเจรจาจะทำให้ประเทศไทยแย่ลงมีเพียง 3.7% และมีบางกลุ่มที่ยังไม่ทราบว่าการเจรจาเอฟทีเอจะให้ผลต่อประเทศไทยอย่างไรอีก
9.5%
หากย้อนไปดูผลการศึกษา
ผลกระทบจากการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป
ซึ่งสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนาได้จัดทำเสร็จสิ้น ชี้ชัดว่าความตกลงฉบับนี้จะช่วยสร้างโอกาสส่งออกให้สินค้าไทย
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตโควิด 19
สอดคล้องกับผลสำรวจข้างต้นที่ชี้ชัดว่า ความตกลงจะช่วยให้ไทยมีค่าครองชีพลดลง
มีสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น คนไทยมีงานทำมากขึ้น ประเทศมีความรู้ นวัตกรรม มีรายได้มากขึ้น
มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย คนที่ด้อยโอกาสจะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ความเหลื่อมล้ำลดลง
และสิ่งแวดล้อมดีขึ้น
ทั้งนี้ การเจรจาความตกลงเอฟทีเอไทย-อียู
เป็นการเจรจาในลักษณะที่ครอบคลุมทั้งเรื่องการค้าสินค้า บริการ และการลงทุนรวม 16
ประเด็น ในประเด็นการเปิดตลาดลดภาษีสินค้า งานวิจัยชี้ว่า
หากมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการระยะยาว จะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้ถึง
1.28% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.05 แสนล้านบาท การส่งออกจากไทยไปอียูจะสูงขึ้น
2.83% หรือ 2.16 แสนล้านบาท และการนำเข้าจากอียูสูงขึ้น 2.81% หรือ 2.09
แสนล้านบาท ประเภทสินค้าส่งออกที่มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากเอฟทีเอ เช่น
ยานยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าและสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์อาหาร
เคมีภัณฑ์ ยาง และพลาสติก
ขณะที่การค้าบริการและการลงทุนนั้น
ฟากฝั่งอียูเน้นการเจรจาเปิดเสรีในสาขาสื่อสาร โทรคมนาคม การเงิน คมนาคมขนส่ง
โดยเฉพาะทางทะเลและการจัดส่งพัสดุและไปรษณีย์
โดยเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคการทำธุรกิจสาขาบริการการเงิน
ประกันภัย โทรคมนาคม และบริการวิชาชีพ และขอให้การแข่งขันให้เสมอภาค
นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายมีแนวโน้มเจรจาเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา จะเจรจาโดยยึดหลักการข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)
คุ้มครองลิขสิทธิ์หลังเสียชีวิต 50-70 ปี คุ้มครองการออกแบบ 10-15
ปี คุ้มครองพันธุ์พืชตามอนุสัญญา UPOV 1991 ปกป้องข้อมูลทดสอบทางยา
5 ปี ขยายอายุสิทธิบัตร 2-5 ปี รวมถึงการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)
ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ขอให้ประเทศสมาชิกอียูสามารถเข้าร่วมการประมูลจัดซื้อจัดจ้างได้ โดยมีเงื่อนไขเดียวกับบริษัทในประเทศ
ต้องได้รับความยุติธรรมและเท่าเทียม และต้องปฏิรูปการระงับข้อพิพาทระหว่างนักลงทุนและรัฐ
นอกจากนี้อียูต้องการให้ไทยยึดหลักปฏิบัติตามพันธกรณีด้านแรงงานสากล ภายใต้ ILO
ข้อตกลงภายใต้ความตกลงสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ (MEAs) อีกด้วย
บทสรุปของการเดินหน้าเจรจายังไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะเริ่มได้เมื่อไร แต่ผู้ประกอบการไทยต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ตามผลการศึกษานี้ระบุว่าการเปิดตลาดลดภาษีจะทำให้ไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบถูกลง มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น โดยจะต้องมีการพัฒนามาตรฐานสินค้า ส่วนภาครัฐก็ยังต้องเตรียมทางออกฉุกเฉินอย่างกองทุนเอฟทีเอ เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้านี้ เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์อย่างสมดุลที่สุด
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
ส่องนโยบายการเงิน-การคลังฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วิถีใหม่สินค้า Luxury หลังโควิด สู่ร้านช้อปปี้งออนไลน์