ปรับตัวไวธุรกิจไปโลด ‘ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย)’ ฟาร์มจระเข้แถวหน้าเมืองไทย ทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์จากจระเข้สะกดใจลูกค้าทั่วโลก
Timing สิ่งสำคัญสำหรับภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ รวมถึง SME ที่ต้องอาศัยห้วงเวลาที่เหมาะสมในการนำพากิจการประสบความสำเร็จ Bangkok Bank SME ขอนำกรณีศึกษาอันน่าสนใจของบริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จำกัด ที่ได้เข้ามาบริหารสวนเสือศรีราชาและฟาร์มจระเข้ ซึ่งตั้งอยู่ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ก่อนพัฒนาธุรกิจจนบริษัท Success ด้านการจำหน่ายหนังและผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงอาหารแปรรูปจากจระเข้ สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก พร้อมตอบโจทย์ผู้บริโภคแบบครบวงจร

วิกฤตต้มยำกุ้ง สร้างโอกาสธุรกิจ
คุณสุพรรณี ปัญญาสาคร ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จำกัด เผยว่า ธุรกิจของบริษัทเริ่มต้นเมื่อปี 2540 ขณะนั้นประเทศไทยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง คุณพ่อได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจว่าจุดที่ตั้งมีทำเลดี จึงได้เข้ามาบริหารกิจการสวนเสือศรีราชาและฟาร์มจระเข้ โดยสวนเสือทางบริษัทได้ให้เจ้าของเดิมเช่าแล้วดำเนินธุรกิจต่อ ส่วนฟาร์มจระเข้เป็นทางครอบครัวที่ทำธุรกิจต่อมาตั้งแต่ปี 2540
“คุณพ่อให้แนวคิดในการทำธุรกิจไว้ว่าอย่ากลัวงานใหม่ เพราะหากกลัวงานเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ งานใหม่ๆ ก็คือโอกาสใหม่ๆ สำหรับเราเช่นเดียวกัน ที่สำคัญต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ให้ได้”
ซึ่งธุรกิจฟาร์มจระเข้ที่ได้เข้ามาบริหาร จะมีในส่วนของโรงงานฟองหนังและโรงงานตัดเย็บด้วย จากการที่ทางครอบครัวยังไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจประเภทนี้จึงได้มีการศึกษาและหาข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียดจากต่างประเทศ แล้วนำมาสานต่อกิจการพร้อมกับพัฒนาในส่วนของการเลี้ยงจระเข้ และในส่วนของการฟอกหนัง เพราะความสวยของหนังจระเข้ไม่ได้มีเฉพาะหนังต้องไม่มีริ้วรอยเท่านั้น แต่เทคนิคการฟอกก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หนังสวยงามมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

การเลี้ยงจระเข้ต้องมีความเข้าใจ
คุณสุพรรณี ให้ความรู้ว่า สำหรับการเลี้ยงจระเข้จะต้องรู้นิสัย เช่น ปกติจระเข้จะไม่ค่อยมีการต่อสู้กันมากนักหากอาหารเพียงพอ ขณะที่จำนวนตัวต่อบ่อก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งอาจจะเคยได้ยินว่าบางประเทศมีการเลี้ยงเพียงตัวเดียวต่อหนึ่งบ่อเพื่อไม่ให้หนังเกิดริ้วรอย ซึ่งบริษัทก็เคยทดลองเลี้ยงวิธีนี้เช่นเดียวกันแต่เกิดปัญหาก็คือ เนื่องจากจระเข้เป็นสัตว์สังคมหากไม่มีการแย่งชิงอาหารก็จะกินอาหารน้อย แม้เราให้อาหารเยอะก็ตาม
ดังนั้นศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จึงเห็นว่าวิธีเหมาะสมที่สุดคือเลี้ยงหนึ่งบ่อแต่จำนวนตัวไม่หนาแน่นจนเกินไป เช่น หนึ่งบ่อไม่ควรมีเกิน 100 ตัวเป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูขนาดของบ่อด้วย และต้องคละตัวเล็กกับตัวใหญ่ ไม่เลี้ยงขนาดเดียวกันทั้งหมดในหนึ่งบ่อ เนื่องจากลำดับขั้นของห่วงโซ่ความเป็นจ่าฝูงต้องพอดี รวมถึงต้องมีการแบ่งเลเวลการให้อาหารสำหรับจระเข้ไซส์ใหญ่กับไซส์เล็กด้วย ซึ่งเป็น Know How ในการเลี้ยง โดยต้องศึกษาแล้วสังเกตนิสัยของจระเข้
“โดยเฉลี่ยไม่สามารถการันตีได้ว่าจระเข้ที่เลี้ยงทั้ง 100% หนังจะสวย ไม่มีริ้วรอยเป็นหนังเกรด A ทั้งหมด ซึ่งจากการศึกษาการเลี้ยงในต่างประเทศพบว่า เมื่อเลี้ยงแล้วจะได้หนังแบ่งเป็นเกรด A B C D ตามลำดับ โดยทั่วไปเกรด A จะมีไม่ถึง 20% สำหรับหนังเกรด A จะไม่ได้ดูแค่แผลเท่านั้น แต่ยังดูไปถึงความสมมาตรตารางหนังของจระเข้ว่าเรียงสวยงามหรือเปล่า สเกลขนาดเท่ากันหรือไม่ ซึ่งจุดนี้เราไม่สามารถควบคุมได้เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติ”

One Stop Service ทุกอย่างครบ..จบที่ ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย)
คุณสุพรรณี อธิบายว่า ช่วงตลาดหนังจระเข้เริ่มดรอปลง บริษัทจึงมีการพัฒนาการฟอกสีหนังเพิ่มเติมแบบเสร็จสรรพ ทำให้สินค้าของเรามีราคาถูกกว่าแต่คุณภาพใกล้เคียงกับโรงงานฟอกหนังชื่อดังในต่างประเทศ เพิ่ม Value Chain จากการจำหน่ายหนังอย่างเดียวมาเป็นการฟอกหนังให้ด้วย สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับบริษัทในการสร้างรายได้มากขึ้น
การฟอกหนังคือแพชชันของศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) โดยบริษัทมองว่าการฟอกเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่หนังหนึ่งผืนแล้วเปลี่ยนสีเป็นดำ น้ำตาล หรือเขียว เราสามารถทำให้เป็นหนังเงา, สีเมทัลลิก (Metallic) รวมถึงการทำหนังจระเข้มัดย้อมซึ่งเหมือนกับผ้ามัดย้อม ขณะที่แฟชั่นต่างประเทศไหนกำลังมาเราก็สามารถทำได้ เช่น หนังเรืองแสง โดยอยากจะเล่นอะไรก็ตามแล้วคิดว่าเทรนด์มันได้โดนใจลูกค้า เราก็พร้อมที่จะตอบโจทย์ความต้องการ
เช่นลูกค้าจากประเทศญี่ปุ่นต้องการให้บริษัทผลิตสินค้าแบบ OEM อยากได้หนังประเภทใด สีอะไร หรืออยากจะตัดแพตเทิร์นแบบไหน เรามีบริการแบบครบวงจร รวมถึง After Sale Service นำสินค้าไปใช้แล้วตัดขัดอะไรบริษัทก็จะมีการให้คำปรึกษา ทั้งความรู้องค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้สามารถนำไปถ่ายทอดให้กับลูกค้าได้
“สำหรับการทำกระเป๋าบริษัทมีเทคนิคพิเศษคือ การตัดหนังแล้วต้องนำไปต่อกับชิ้นอื่นอย่างไร สร้างความแตกต่างไม่เหมือนกับที่อื่น เป็นกึ่งงานคราฟท์ซึ่งลูกค้าชื่นชอบมาก ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน”

รู้จักปรับเปลี่ยนแนวคิด ธุรกิจอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์
ในเรื่องนี้ คุณสุพรรณี กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีแรกในการทำธุรกิจ ถือว่าเป็นช่วงพีคในการเลี้ยงจระเข้ หนังขายดีมาก มีลูกค้ารับส่งออกทั้งหมด จึงมีการขยายการเลี้ยง ซึ่งตอนนั้นการขายจะเป็นลักษณะหนังเค็มที่ผ่านการแปรรูปขั้นต้น ไม่ได้มีการ Value Added
แต่หลังจากช่วง 10 ปี ซัพพลายเริ่มเยอะขึ้น ดีมานด์เริ่มลดลงตลาดหนังจระเข้ในยุโรป สหรัฐอเมริกา เริ่มเปลี่ยนไปส่งผลให้การส่งออกลดลง ซึ่งเป็นห้วงประเทศไทยส่งเสริมการท่องเที่ยวพอดี ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในบ้านเรามากขึ้นโดยเฉพาะจากประเทศจีน ซึ่งมีความนิยมในผลิตภัณฑ์หนังจระเข้อยู่แล้ว บริษัทจึงมีการปรับเทคนิคในการเลี้ยงและฟองหนังแล้วส่งจำหน่าย มาเป็นการเลี้ยง ฟอกหนัง และนำมาตัดเย็บพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนังต่างๆ เพื่อจำหน่ายนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) ยังเป็นแหล่งผลิตแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer) แถวหน้าของเมืองไทย ผลิตสินค้าให้กับร้านค้ารวมถึงแบรนด์ต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศด้วย
ปัจจุบันด้วยสถานการณ์โควิด 19 จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบ้านเราหายไป ส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับบริษัทประมาณ 90% ดังนั้นจึงมีการระดมความคิดปรับกลยุทธ์ใหม่ว่าต้องดำเนินธุรกิจอย่างไร ให้ผ่านวิกฤตนี้ให้ได้ และด้วยความที่จระเข้เป็นสัตว์เศรษฐกิจสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งตัว เพียงแต่บริษัทจะให้ Value ตรงจุดไหน โดยส่วนที่มีมูลค่ามากที่สุดคือส่วนหนังท้อง ส่วนเส้นหลังก็อาจจะไปผลิตเป็นเข็มขัดซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับคนจีน ขณะที่เลือดจระเข้จะนำไปทำแคปซูลอาหารเสริม ส่วนเนื้อจะจำหน่ายทั้งในเมืองไทยและส่งออกซึ่งหลักๆ จะเป็น ฮ่องกง
หลังจากฮ่องกงปิดเมืองเนื่องจากสกัดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ยอดส่งออกเนื้อจระเข้ลดลงค่อนข้างเยอะ บริษัทจึงมองควรต้องเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจโดยจะเน้นส่งออกเป็นหลักไม่ได้แล้ว จึงมีการทำผลิตภัณฑ์จากเนื้อจระเข้ขึ้นมา ปัจจุบันเรามีฟู้ดแลนด์เป็นพาร์ทเนอร์ในการคิดสูตรไส้กรอกเนื้อจระเข้ โดยขอ อย. ผ่านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กำลังจะเข้าสู่การทำ Marketing ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก โดยการนำเสนอด้วยรสชาติที่ถูกปาก ผลิตภัณฑ์มีประโยชน์สูง

ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) ปรับกลยุทธ์ใหม่ จากเมื่อก่อนจำหน่ายหนัง 80% เนื้อ 20% ตั้งแต่โควิด 19 ระบาด ก็เริ่มเห็นแนวโน้มการแข่งขันด้านหนังจระเข้ค่อนข้างเยอะ ราคาตลาดโลกถึงจุดอิ่มตัวก็จะเริ่มลดลง จึงต้องมีการวิจัย - คิดค้นโปรดักส์ใหม่ๆ มาทดแทน โดยการทำงานร่วมกับอาจารย์มหาวิทยาลัย ในการนำชิ้นส่วนเหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์ เช่น สกัดเป็นคอลลาเจน อาหารเสริม เป็นต้น
พึ่งพาการจำหน่ายหนังน้อยลง เพิ่มแวลูให้กับเนื้อจระเข้แทน นำมาสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น เนื้อจระเข้แดดเดียว ไส้กรอกจระเข้ แล้วก็มาการจับเทรนด์การบริโภคเนื้อสัตว์ ส่งผลให้สภาพคล่องของบริษัทดีขึ้นแม้ราคาหนังลดลง ทำให้สัดส่วนการจำหน่ายสินค้า ณ ปัจจุบันของบริษัทเปลี่ยนแปลงเป็น เนื้อ 10%, ผลิตภัณฑ์จากจระเข้ อาทิเช่น กระเป๋า 70% และหนังจระเข้ 20%
นอกจากนี้บริษัทได้มีการทำการตลาดในเมืองไทยมากขึ้นด้วย ทำให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น หลังจากที่เมื่อก่อนกลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการมองหาตลาดแหล่งส่งออกใหม่ๆ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รัสเซีย ตุรกี โดยขณะนี้มีการติดต่อกับลูกค้าเรียบร้อยแล้ว เมื่อสถานการณ์โควิด 19 ดีขึ้น เริ่มเดินทางได้สะดวก ก็จะมีการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการเป็นพาร์ทเนอร์สร้างโอกาสทางธุรกิจ ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างตรงจุด

ทิศทางธุรกิจในอนาคต
สำหรับเรื่องนี้ คุณสุพรรณี เผยว่า ปัจจุบันบริษัทได้สร้างแบรนด์กระเป๋าหนังจระเข้ขึ้นมา 2 แบรนด์ก็คือ 1. SC SRIRACHA โดยกลุ่มเป้าหมายจะเป็นกลุ่มคนอายุ 40 ปีขึ้นไป ลักษณะภูมิฐาน ก็จะมีการออกแบบกระเป๋าให้เหมาะสมกับคนกลุ่มนี้ ส่วนแบรนด์ที่ 2 ก็คือ SICHAA (สิชา) ซึ่งจะเจาะกลุ่มวัยทำงาน โดยราคาจะย่อมเยากว่ากลุ่มแรกอยู่ในเรทที่จับต้องได้ นอกจากนี้ยังมีแพลนเปิดตลาดกลุ่ม First Jobber ด้วย เพื่อตอบโจทย์ว่าทำไมวัยรุ่นยุคใหม่จึงควรใช้สินค้าจระเข้ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลเชิงลึกเมื่อได้ข้อสรุปก็จะมีการวางกลยุทธ์ Marketing ต่อไป

ส่งท้ายบทสัมภาษณ์ คุณสุพรรณี ได้ให้มุมมองกับผู้ประกอบการ และ SME อย่างน่าสนใจว่า ในอนาคตเมืองไทยจะยังคงเป็น Destination ของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีน เป็นลำดับต้นๆ ของโลกเหมือนเดิม โดยหากสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย ก็น่าจะมีโอกาสที่สถานการณ์ท่องเที่ยวบ้านเราจะฟื้นตัวขึ้นมาก แต่สำหรับการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของนักท่องเที่ยวอาจเปลี่ยนไปตามเทรนด์และกระแสหรือไม่อย่างไร ต้องศึกษา - ติดตามอย่างใกล้ชิด
ซึ่งสิ่งที่แน่ๆ ก็คือการทำธุรกิจต้องมีบาลานซ์ไม่มุ่งไปทางใดทางหนึ่งจนมากเกินไป เพราะเมื่อเกิดปัญหาจะส่งผลกระทบกับบริษัทเป็นอย่างมาก ดังนั้นต้องเพิ่มความหลากหลาย ไม่พึ่งตลาดนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว โดยอาจจะเริ่มมองหาลูกค้าต่างประเทศ เพื่อที่บริษัทจะรับผลิตแบบ OEM อย่างที่ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) กำลังทำอยู่ก็เป็นเรื่องที่ดี เพื่อสร้างโอกาสให้ธุรกิจประสบความสำเร็จแม้ทั่วโลกยังเผชิญกับโควิด 19 อยู่ก็ตาม

รู้จัก ‘บริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จำกัด’ เพิ่มเติมได้ที่